บทที่5
ประเภทของหลักสูตร
1. หลักสูตรบูรณาการ
หลักสูตรบูรณาการ
(integrated
curriculum) หมายถึง หลักสูตรที่นำสาระจากศาสตร์สาขาวิชาต่างๆ
ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน หรือไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้
มาผสมผสานหลอมรวมกันเพื่อให้เกิดเป็นองค์รวมหรือเรื่องที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง
สาระที่นำมาบูรณาการมีหลายประเภท เช่น เนื้อหา มโนทัศน์ คุณธรรม กระบวนการ กิจกรรมการเรียนรู้
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งต้องจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบบูรณาการด้วย หลักสูตรบูรณาการที่นิยมจัดทำมี 4 ลักษณะ คือ 1) บูรณาการภายในสาขาวิชา (intradisciplinary
integration) เป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระต่างๆ
ที่อยู่ในสาขาวิชาเดียวกัน เช่น บูรณาการทักษะการพูด ฟัง อ่าน และเขียน
ในวิชาภาษาไทย 2)
บูรณาการระหว่างสาขาวิชา (interdisciplinary integration) เป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระระหว่าง
2 สาขาวิชา โดยยึดสาขาใดสาขาหนึ่งเป็นแกนหลัก เช่น
บูรณาการระหว่างสาระทางวิทยาศาสตร์กับสาระทางสังคมศาสตร์ 3) บูรณาการแบบพหุสาขาวิชา
(multidisciplinary integration) เป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระตั้งแต่
2 สาขาวิชาขึ้นไป โดยยึดสาขาใดสาขาหนึ่งเป็นแกนหลัก และ 4)
บูรณาการแบบข้ามสาขาวิชา (transdisciplinary integration) เป็นการผสมผสานเนื้อหาหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน
และหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่ยึดสาขาวิชาใดเป็นแกน
1.1
ลักษณะหลักสูตรบูรณาการที่ดี
1.
บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้
อาจใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่น การบอกเล่า การบรรยาย และการท่องจำ
2.
บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัย
อันได้แก่ความรู้ ความคิด และการแก้ปัญหา มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม
ความสนใจ และความสุนทรียภาพ
3.
บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ การสร้างสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการกระทำมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ
โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา การเรียนรู้เรื่องค่านิยมและการส่งเสริมให้
ผู้เรียนมีความสามารถในการเลือกค่านิยมที่เหมาะสม
4.
บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูตรดีหรือไม่ดี
5.บูรณาการระหว่างวิชาต่าง
ๆ นำเอาเนื้อหาของวิชาหนึ่งมาเสริมอีกวิชาหนึ่ง
เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้และเกิดเจตคติตามที่ต้องการ โดยอาศัยเนื้อหาของหลาย ๆ
วิชา มาช่วยในการแก้ปัญหานั้น
ข้อดีและข้อด้อยของหลักสูตรบูรณาการ
ข้อดี
1.
มีความสัมพันธ์ระหว่างวิชาสูงสุด
ทำให้เกิดการผสมผสานทางด้านการเรียนรู้และเนื้อหาวิชา
2.
ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง
จึงสามารถนำสิ่งที่เรียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มาก
3.
เนื้อหาผสมผสานกัน สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ
ทำให้สอดคล้องกับความสนใจ และความต้องการของผู้เรียนและสังคม
4.
มีการคัดเลือกเนื้อหาอย่างรอบคอบ และการเรียบเรียงประสบการณ์อย่างดี
ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน
5.
ส่งเสริมทักษะและความสามารถในการแก้ปัญหาทั้งผู้เรียนและครูผู้สอน
รวมทั้งส่งเสริมการค้นคว้าวิจัย
6.
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้
ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนา คุณลักษณะต่าง ๆ
ในตนเองและส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ข้อด้อย
1.
การบูรณาการเนื้อหาและประสบการณ์ทำได้ดีในระดับชั้นประถมศึกษา
แต่ในระดับมัธยมศึกษาและสูงกว่าทำได้ยาก
2.
เป็นหลักสูตรที่ยากแก่การสอน ดังนั้นครูผู้สอนต้องมีความรู้
ความสามารถที่ดีพอ
ต้องมีการเตรียมการสอนอย่างดีและตระหนักถึงความสำคัญของหลักการบูรณาการ
3.
ต้องใช้สื่อการเรียนรู้หลายอย่าง
4.
ความกว้างขวางของหลักสูตร อาจทำให้ผู้เรียนไม่มีความรู้ลึกซึ้งในเนื้อหาที่เรียน
นอกจากนั้นหากครูผู้สอนไม่เก่งพออาจทำให้ผู้เรียนมองไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาต่าง
ๆ
5.
ครูผู้สอนมักอาจสอนไม่ครอบคลุมเนื้อหาครบถ้วนหรือมักสอนแยกวิชาตามความเคยชิน
ทำให้ขาดความเป็นบูรณาการ
1.2
รูปแบบการบูรณาการ
1.
บูรณาการภายในหมวดวิชา
เป็นการสอดคล้องกับแนวความคิดของหลักสูตรที่ว่าการเรียนรู้ต้องมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ
2.บูรณาการ
ภายในหัวข้อ และโครงการคือการนำเอาความรู้ ทักษะและประสบการณ์
ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไปมาผสมผสานกันในลักษณะที่เป็นหัวข้อหรือโครงการ
3.บูรณาการโดยการผสมผสานปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและของสังคม
ผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้จากวิทยาการต่างๆหลายสาขา
รวมทั้งมีทักษะที่จำเป็นเพื่อที่จะแก้ปัญหาสิ่งที่ปรากฏชัดในการเรียนรู้ได้
2. หลักสูตรกว้าง
หลักสูตรกว้าง
(The Broad-Field
Curriculum) เป็นหลักสูตรอีกแบบหนึ่งที่พยายามแก้ไขจุดอ่อนของหลักสูตรรายวิชา โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นที่น่าสนใจและเร้าใจ
ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งให้มีพัฒนาการในด้านต่าง
ๆ ทุกด้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพยายามจะหนีจากหลักสูตรที่ยึดวิชาเป็นพื้นฐาน
มีครูหรือผู้สอนเป็นผู้สั่งการแต่เพียงผู้เดียว วิชาต่าง ๆ ที่แยกจากกันเป็นเอกเทศ
จนทำให้ผู้เรียนมองไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาเหล่านั้น ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถนำเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
2.1
ลักษณะสำคัญของหลักสูตรกว้าง
1.
จุดหมายของหลักสูตรมีความกว้างขวางกว่าหลักสูตรรายวิชา
2.
จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่าง ๆ ที่นำมารวมกันไว้
3.โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับกันเข้า
ข้อดีข้อเสียของหลักสูตรกว้าง
ข้อดี
-
เป็นหลักสูตรที่ทำให้วิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมีความสัมพันธ์กันดีมากยิ่งขึ้น
-ในการสอน
ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดความเข้าใจและมีทัศนคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น
-เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง
เป็นการเอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ข้อเสีย
-ลักษณะของหลักสูตรทำให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง
เข้าทำนองรู้รอบมากกว่ารู้สึก
-การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์
เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน
3. หลักสูตรประสบการณ์
หลักสูตรประสบการณ์
(experience
curriculum) เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นจากความพยายามที่จะแก้ไขการเรียนรู้แบบครูเป็นผู้สอนเพียงฝ่ายเดียว
โดยไม่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียนซึ่งเป็นข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบเนื้อหาวิชา หลักสูตรแบบนี้ยึดหลักการที่ว่า
“การเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์ และประสบการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้” ดังนั้นการจัดหลักสูตรจึงเน้นเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
โดยวิธีการแก้ปัญหา ผู้เรียนต้องรู้จักวิธีการแก้ปัญหา
แสดงออกด้วยการลงมือกระทำ ลงมือวางแผน
เพื่อหาประสบการณ์อันเกิดจากการแก้ปัญหานั้น ๆ ด้วยตนเอง
ซึ่งเป็นการเรียนแบบการเรียนรู้ด้วยการกระทำ ( Learning by Doing)
3.1
ลักษณะของหลักสูตรประสบการณ์
1.
ความสนใจของผู้เรียนเป็นตัวกำหนดเนื้อหา กิจกรรม หรือประสบการณ์
ต้องสอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน
2.
วัตถุประสงค์ของการเรียนแบบนี้ เพื่อมุ่งปรับปรุงความเป็นอยู่ในปัจจุบันของเด็ก ยิ่งกว่าที่จะเตรียมตัวเพื่ออนาคต
3.
วิชาที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนคือวิชาที่ผู้เรียนมีความสนใจร่วมกัน
ดังนั้นจึงกำหนดเนื้อหาจากความสนใจของผู้เรียนเป็นคราว ๆ ไป
ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
4.
ใช้วิธีแก้ปัญหาเป็นหลักในการจัดการเรียนรู้
5.
มุ่งที่จะให้การศึกษาและเอาใจใส่ต่อนักเรียนเป็นรายบุคคล
และส่งเสริมความแตกต่างระหว่างบุคคล
6.
การเรียนแบบประสบการณ์ในต่างโรงเรียน ต่างชั้นกันย่อมไม่เหมือนกัน
การเรียนแบบนี้นักการศึกษาทำไปต่าง ๆ กัน
แต่ก็สามารถรวบรวมเข้าเป็น 2 พวก คือ
6.1 ใช้ปัญหาในชีวิตปัจจุบันเป็นหลัก คือให้ครูและเด็กร่วมมือกันวางโครงการที่จะหาและเลือกเอาปัญหาที่มีความหมายต่อผู้เรียน
และเป็นปัญหาในชีวิตจริง ปัญหานี้จะต้องเหมาะสมกับวุฒิภาวะ ความต้องการ
และความสนใจด้วย
6.2 ใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลัก
สถานการณ์ที่จะจัดขึ้นสำหรับการเรียนแบบนี้จะต้องคำนึงถึง
-
เป็นสถานการณ์ที่ส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ความสามารถแสดงออกมา
-
ให้เด็กได้ร่วมมือในกิจกรรมของสังคม หรือส่วนรวม
-
ให้เด็กมีทักษะและความสามารถที่จะปรับตัวและจัดการกับสิ่งแวดล้อม
3.2
การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ (Experiential Learning)
การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน
ครูต้องคำนึงถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญและพยายามให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการกระทำ
ครูจัดการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้
ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
เน้นการแก้ปัญหา ครูต้องทำหน้าที่เป็น นักวางแผน นักจิตวิทยา นักแนะแนว
และนักพัฒนาการ ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้จะประเมินจากพัฒนาการของผู้เรียนในทุก
ๆ ด้าน โดยยึดปรัชญาการศึกษาแบบพิพัฒนาการ (Progressivism)
ในการจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์
ทิศนา แขมมณี (2545:130 – 131) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ไว้
ดังนี้
1.
หลักการ
ประสบการณ์เป็นแหล่งที่มาของการเรียนรู้และเป็นพื้นฐานสำคัญของการเกิดความคิด
ความรู้ และการกระทำต่าง ๆ การเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ (Johnson
& Johnson, 1975 : 7)
สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนและมีความหมายต่อตน
เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่เริ่มจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมเห็นได้ชัดเจน
จึงสามารถนำไปสู่การเรียนรู้เชิงนามธรรมอันจะส่งผลต่อการคิด
การปฏิบัติหรือการกระทำใหม่ ๆ ต่อไป
การที่ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงและค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
จะช่วยให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายต่อตนเอง
และจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกผูกพัน
ความต้องการและความรับผิดชอบทีจะเรียนรู้ต่อไป
2.
นิยาม
การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ หมายถึง
การดำเนินการอันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายโดยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์
(experience)
ที่จำเป็นต่อการเยนรู้ในเรื่องที่เรียนรู้ก่อน
แล้วจึงให้ผู้เรียนย้อนไปสังเกต
ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและนำสิ่งทีเกิดขึ้นมาคิดพิจารณาไตร่ตรองร่วมกันจนกระทั่งผู้เรียนสามารถสร้างความคิดรวบยอดหรือสมมติฐานต่าง
ๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ แล้วจึงนำความคิด หรือสมมติฐานเหล่านั้นไปทดลองหรือประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่
ๆ ต่อไป
3.
ตัวบ่งชี้
3.1 ผู้สอนมีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (learning
experience) ในเรื่องที่เรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้ลงไปประสบด้วยตนเอง
3.2 ผู้เรียนมีการสะท้อนความคิด (reflect)
และอภิปรายร่วมกัน เกี่ยวกับสิ่งที่ได้ประสบมา
หรือเดขึ้นในสถานการณ์การเรียนรู้นั้น
3.3
ผู้เรียนมีการสร้างความคิดรวบยอด/หลักการ/สมมติฐานจากประสบการณ์ที่ได้รับ
3.4
ผู้เรียนมีการนำความคิดรวบยอด/หลักการ/สมมติฐานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้น
ไปทดลองหรือประยุกต์ใช้สถานการณ์ใหม่ ๆ
3.5 ผู้สอนมีการติดตามผล
และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนผลการทดลอง/ประยุกต์ใช้ความรู้
เพื่อขยายขอบเขตของการเรียนรู้ หรือปรับเปลี่ยนความคิด/หลักการ/สมมติฐานต่าง ๆ
ตามความเหมาะสม
3.6 ผู้สอนมีการวัดและประเมินผล
โดยใช้การประเมินผลการเรียนรู้ของตนเองของผู้เรียน
ประกอบกับการประเมินผลของผู้สอนด้วย
ข้อดีและข้อด้อยของการจัดหลักสูตรแบบประสบการณ์
ข้อดี
1.
ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้มาก
สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
2.
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ได้รู้จักการวางแผนการเรียนด้วยตนเอง
ได้มีโอกาสทดลอง แก้ไขปัญหาได้อย่างมีเหตุมีผล มีความรับผิดชอบในตนเองต่อการศึกษา
3.
ผู้สอนและผู้เรียนมีโอกาสได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
และมีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
4.
สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
5.
ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม ทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียน
6.
มีความยืดหยุ่นในเรื่องของเวลา และวิธีจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย กิจกรรม
การเรียนรู้ครอบคลุมเนื้อหาได้กว้างขวาง กระบวนการเรียนรู้เป็นไปตามขั้นตอน
ข้อด้อย
1.
การจัดทำหลักสูตรทำได้ยาก
2.
ถ้าครูผู้สอนไม่มีความกระตือรือร้น ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการสอน
ขาดความเข้าใจในจิตวิทยาการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียนแล้ว
การจัดการเรียนรู้ก็ไม่ประสบ ความสำเร็จ
3.
การจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง
หรือชีวิตจริงของเด็กแต่ละคนกระทำได้ยาก
4.
เนื้อหาสาระที่ผู้เรียนได้รับ อาจจะไม่สัมพันธ์กับพัฒนาการของผู้เรียน หรือ
ได้เนื้อหาสาระไม่ครบถ้วนและขาดความต่อเนื่องของความรู้
ไม่ได้รับความรู้เป็นกอบเป็นกำ หลักสูตรนี้ใช้ได้ดีกับผู้เรียนระดับประถมศึกษา
เพราะสามารถจัดกิจกรรมหรือประกอบการเรียนรู้ได้ง่ายกว่าเด็กโต
5.
ต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ เช่น ห้องเรียน สื่อการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆมิฉะนั้นการจัดการเรียนรู้จะไม่บังเกิดผล
3.3
การเปรียบเทียบการจัดการเรียนการสอนทางตรงกับการสอนแบบเน้นประสบการณ์
การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน
ข้าพเจ้าจัดการเรียนการสอนแบบทางตรง ซึ่งใช้ได้ดีกับเนื้อหาหลักภาษาไทย
เพราะสามารถจัดเนื้อหาสาระอย่างเป็นไปตามลำดับขั้นตอน
จากขั้นพื้นฐานไปสู่ขั้นสูงที่ซับซ้อนขึ้น มีการยกตัวอย่างประกอบ
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ส่วนการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์
เป็นการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม
ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหว ใช้ความคิด ลงมือทำ
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการตื่นตัวรอบด้าน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีตามมา
4. หลักสูตรรายวิชา (The
subject curriculum)
หลักสูตรรายวิชา
(The
subject curriculum )เป็นรูปแบบการจัดหลักสูตรที่เก่าแก่ที่สุดและยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน
หลักสูตรประเภทนี้ได้รับอิทธิพลมาจากปรัชญาสารัตถนิยม (essentialism) และปรัชญาสัจวิทยานิยม (parennialism) เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชา
สาระ และความรู้ของวิทยาการต่าง ๆ เป็นหลักในการจัดการเรียนรู้
ใช้วิธีสอนแบบบรรยายโดยมีครูผู้สอนเป็นศูนย์กลาง ดังเช่น หลักสูตรการศึกษาของไทย ปี พ.ศ. 2493
4.1
ลักษณะของหลักสูตร
1.
จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ใช้วิชาต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียน
ซึ่งอาจจะสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้ มักจะไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคม
2.
โครงสร้างของเนื้อหาวิชา จะแยกเป็นแต่ละวิชาไม่เกี่ยวข้องกัน เช่น ประวัติศาสตร์
ภูมิศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม การจัดการเรียนรู้ และการวัดผลแยกจากกันเป็นเอกเทศ
3.
เนื้อหาวิชาจะประกอบด้วย ความรู้ ความคิดรวบยอด ทักษะ กฎ หลักเกณฑ์ คุณธรรม
และการปฏิบัติงาน โดยมีการจัดเนื้อหาให้เรียงลำดับอย่างมีระเบียบระบบ
ตามลำดับเหตุการณ์ หรือตามลำดับความยากง่าย
4.
การจัดการเรียนรู้ เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาสาระและความรู้ โดยครูผู้สอนเป็น
ผู้ดำเนินการ ดังนั้นความสามารถของครูจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ไม่ให้ความสำคัญกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียนมากนัก
ผู้เรียนทุกคนเรียนทุกสิ่งทุกอย่างเหมือน ๆ กัน และ
ไม่ถือว่าจิตวิทยาในการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ
5.
การประเมินผลการเรียนรู้ มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่าง ๆ ที่เรียนมา
เน้นเรื่องการสอน ถ้าผู้เรียนสอบผ่านก็ถือว่าใช้ได้ ถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องเรียนซ้ำ
ต้องซ้ำจนกว่า จะสอบผ่าน
6.
การพัฒนาหลักสูตร เน้นที่ผลการเรียนรู้ หลักสูตรจะเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อ
เนื้อหาวิชาเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้เนื่องมาจากความต้องการหรือความเปลี่ยนแปลงในสังคม
ข้อดีและข้อด้อยของการจัดหลักสูตรรายวิชา
ข้อดี
1.
ง่ายต่อการเลือกเนื้อหาวิชาที่จะนำมาใช้สอน
2.
สอนง่ายและทุ่นเวลาในการจัดการเรียนรู้เนื่องจากเนื้อหาถูกจัดไว้อย่างเป็นระบบ
ขั้นตอน ครูผู้สอนสามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระและความรู้ได้คราวละมาก ๆ
และวัดผลได้ง่าย
3.
การจัดเนื้อหาที่เป็นระบบขั้นตอนทำให้ผู้เรียนมีความรู้เป็นหมวดหมู่
เพียงพอต่อการเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อไป และทำให้ผู้เรียนมีระบบในการคิด
ทำให้สามารถพัฒนา เชาวน์ปัญญาได้รวดเร็วขึ้น
และความรู้ใหม่ที่ได้จะสัมพันธ์กับความรู้เก่าเกิดความต่อเนื่องใน การเรียนรู้
4.
การประเมินผลการเรียนรู้ทำได้ง่าย เพราะมุ่งเน้นในเรื่องความรู้
5.
เหมาะสำหรับการถ่ายทอดวัฒนธรรม
6.
ช่วยสร้างระเบียบวินัยในชั้นเรียนได้ดี
ข้อด้อย
1.
ขัดกับหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ธรรมชาติและพัฒนาการของผู้เรียน
2.
ความมุ่งหมายของหลักสูตรแคบเกินไป เน้นแต่ด้านวิชาการไม่ครอบคลุม พฤติกรรม
และพัฒนาการด้านอื่นของผู้เรียน เช่น
เจตคติ ทักษะ ด้านสังคม
3.
เน้นครูเป็นศูนย์กลาง ไม่ส่งเสริมการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน
ผู้เรียนขาดโอกาสในการพัฒนาความคิดไม่เป็นอิสระ
จึงไม่ส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
4.
การจัดเนื้อหาสารที่แยกเป็นแต่ละวิชาไม่เกี่ยวข้องกัน
ทำให้ผู้เรียนมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เรียนนอกจากนี้เนื้อหาที่เรียนยังไม่คำนึงถึงความต้องการของสังคมอย่างแท้จริงทำให้ผู้เรียนไม่สามารถนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
5.
ถ้าครูผู้สอนไม่มีความรู้ในเนื้อหาสาระที่สอนอย่างเพียงพอ
และไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้อย่างดีพอ ผู้เรียนก็เกิดการเรียนรู้ได้ยาก
6.
บรรยากาศในห้องเรียนเคร่งเครียด ทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน
5. หลักสูตรแกน
หลักสูตรแกน (The
core curriculum) เป็นหลักสูตรที่พยายามจะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็นรายวิชาย่อย
ๆ และเพื่อที่จะดึงเอาความต้องการ และปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร
สรุปใจความสำคัญของหลักสูตรแกน
หลักสูตรแกน
เป็นหลักสูตรที่บังคับให้ทุกคนต้องเรียน อาจเป็นหนึ่งของหลักสูตรของแม่บท
หรือเป็นตัวหลักสูตรแม่บทก็ได้ จุดเน้นของหลักสูตรแกน จะอยู่ที่วิชาหรือสังคมก็ได้
ส่วนใหญ่จะเน้นสังคม โดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคมหรือปัญหาของสังคม
หรือการสร้างเสริมสังคมเป็นหลัก
6. หลักสูตรแฝง
หลักสูตรแฝง (Hidden Curriculum)
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้า
และเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้
หลักสูตรแฝงกับการเรียนรู้พฤติกรรมจิตพิสัย
โดยทั่วไปโรงเรียนจะประสบความสำเร็จมากในการสอนให้เกิดการเรียนรู้
ทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
มีการสอนและการประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกันได้ง่าย และกระทำได้ง่าย
แต่โรงเรียนจะมีปัญหาในการสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้ายจิตพิสัย
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยการบรรยาย
เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากตัวอย่างและการกระทำของผู้ใหญ่
และผู้อยู่ใกล้ชิดมากกว่า
หลักสูตรแฝงจะช่วยให้ครู
และนักการศึกษาได้แง่คิด และเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเรื่องเจตคติ
ค่านิยม พฤติกรรม คุณธรรม และจริยธรรมของนักเรียน
โรงเรียนจึงไม่ควรเน้นและทุ่มเทในด้านการสอนสิ่งเหล่านี้
ตามตัวหลักสูตรปกติมากจนเกินไป หรือเกินความจำเป็น
แต่ให้เพิ่มความสนใจแก่หลักสูตรแฝงมากขึ้น
7. หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
(The
correlated curriculum)
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
(The
correlated curriculum)เป็นรูปแบบของหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการขาดความสัมพันธ์กันของรายวิชาที่เกี่ยวข้องกัน
โดยนำเอาเนื้อหาของวิชาต่าง ๆ ที่สอดคล้องหรือส่งเสริมซึ่งกันและกันมาเชื่อมโยงเข้าหากันแล้ววิชาสอนเนื้อหาเหล่านั้นในคราวเดียวกัน
แต่ถึงกระนั้นความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาก็ยังคงอยู่ เช่น
นำวิชาศิลปะไปสัมพันธ์กับวิชาประวัติศาสตร์ทำหลักเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์มาเชื่อมโยงกับวิชาวิทยาศาสตร์
เป็นต้น การจัดการเรียนการสอนยึดครูเป็นศูนย์กลาง
การวัดผลการเรียนรู้ยังเน้นพัฒนาการด้านเชาวน์ปัญญา
7.1
ลักษณะของหลักสูตร
เนื้อหาวิชามีความสัมพันธ์กันในหมวดวิชา
หรือระหว่างวิชาโดยพยายามกำหนดเนื้อหาวิชาใดวิชาหนึ่ง
หรือหมวดวิชาใดหมวดวิชาหนึ่งตามเนื้อหาสาระและโครงสร้างของวิชา นั้น ๆ
แล้วนำเนื้อหาสาระวิชาอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กันมารวมเข้าไว้ด้วยกัน
ข้อดีและขอด้อยของหลักสูตรสัมพันธ์วิชา
ข้อดี
1.
เนื้อหาวิชามีความสัมพันธ์สอดคล้องและผสมผสานกันดียิ่งขึ้นทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้ที่เชื่อมโยงกัน
2.
ครูผู้สอนได้มีโอกาสวางแผนการสอนและดำเนินการสอนร่วมกัน
ส่งผลให้เกิด จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่แน่นอน
3.
สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลาย
ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วม กิจกรรม และมีประสบการณ์ตรงมากขึ้น
4.
ผู้เรียนมีโอกาสเรียนในสิ่งที่ตนสนใจ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
5.
ขจัดความซ้ำซ้อนในเนื้อหาวิชาหรือหมวดวิชา
ข้อด้อย
1.
การจัดเนื้อหาให้สัมพันธ์กันทำได้ยาก
หากนำวิชาที่มีความสัมพันธ์กันน้อยเข้ามาสัมพันธ์กัน
อาจทำให้วิชานั้นมีเนื้อหามากเกินไป
2.
หากครูผู้สอนเตรียมการสอนไม่ดีพอ หรือขาดความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจะทำให้
ผู้เรียนเกิดความสับสน
3.
ทำให้คาบเวลาเรียนยาวนานเกินไป
4.
ครูผู้สอนอาจจะมีปัญหาในเรื่องเวลาที่จะต้องมาวางแผนร่วมกัน
หรือเกิดการ ไม่ยอมรับ เนื่องจากทำให้ยุ่งยากมากขึ้น
8. หลักสูตรเกลียวสว่าน
หลักสูตรเกลียวสว่าน (Spiral
curriculum) เป็นการจัดเนื้อหา
หรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น
แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชั้นต้นๆจะสอนในเรื่องง่าย ๆ
และค่อยเพิ่มความยาก และความลึกลงไปตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไป
8.1
ความหมาย
หลักสูตรเกลียวสว่าน
หรือบันไดวน (Spiral Curriculum) หมายถึง
การจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น
แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชั้นต้นๆ จะสอนในเรื่องง่ายๆ
ตื้นๆ แล้งค่อยๆ เพิ่มความยากและความลึกลงไปเรื่อยๆ
ตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
มีให้พบเห็นได้ในหลักสูตรทั่ว ๆ ไป เช่นหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 ของกระทรวงศึกษาธิการ ในวิชาคณิตศาสตร์กำหนดให้เรียนเรื่อง การคูณ
ทั้งในระดับชั้น ป.1 ป.2 ป.3-4 และ ป.5-6 แต่จะมีความยากและความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ในกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
จะกำหนดให้นักเรียนเรียนเรื่อง พืช ในทุกระดับชั้นจาก ป.1-6 โดยจะมีรายละเอียดมากขึ้น
และลึกลงเรื่อย ๆ
8.2
ที่มาแนวคิดหลักสูตรเกลียวสว่าน
บรูเนอร์ (Bruner) มีความเชื่อว่าในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้าง
และการจัดระบบที่แน่นอนจึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตรโดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆอย่างมีระบบจากง่ายไปหายาก
จากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวนหรือเกลียวสว่าน
คือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อย ๆ ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก
แนวคิดหลักสูตรเกลียวสว่านของดิวอี้
ดิวอี้ (Dewey)
มีความเชื่อว่า
การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอก
และในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญาจากการแก้ปัญหาเหล่านี้
เขาจะได้ความคิดใหม่ๆจากการทำงาน
9.หลักสูตรสูญ
หลักสูตรสูญหรือ (Null
Curriculum) เป็นความคิดและคำที่บัญญัติขึ้นโดยไอส์เนอร์ (Eisner,1979)แห่งมหาวิทยาลัยแตนฟอร์ด
สหรัฐอเมริกา หลักสูตรสูญ เป็นชื่อประเภทของสูตรที่ไม่แพร่หลาย
และไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักในระหว่างนักการศึกษา และนักพัฒนาหลักสูตรด้วยกัน
เขาได้นิยามหลักสูตรสูญว่า
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้มีปรากฏอยู่ให้เห็นในแผนการเรียนรู้
และเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอน
เขาได้อธิบายถึงความเชื่อของเขาในเรื่องนี้ว่า
สิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่ในตัวหลักสูตรและสิ่งที่ครูไม่ได้ โดยให้เหตุผลว่า
ความรู้หรือการขาดสิ่งที่ควรจากรู้ไม่ได้เป็นแต่เพียงความว่างเปล่าที่หลายคนอาจคิดว่าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด แต่โดยความเป็นจริงแล้ว
การขาดความรู้ดังกล่าวย่อมมีผลกระทบที่สำคัญมาก
ในแง่ที่ทำให้ผู้เรียนขาดทางเลือกที่เขาอาจนำไปใช้แก้ปัญหาและพัฒนาชีวิตของเขาได้
นั้นก็คือ
การขาดความรู้บางอย่างไปอาจทำให้ชีวิตของคน ๆ หนึ่งขาดความสมบูรณ์ได้
นอกจากนี้ยังอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า
หลักสูตรสูญได้แก่ ทางเลือกที่ไม่ได้จัดเตรียมไว้ให้ผู้เรียน
ความคิดและทรรศนะที่ผู้เรียนไม่เคยสัมผัสและเรียนรู้สิ่งที่ผู้เรียนจะนำไปประยุกต์ใช้ได้แต่มีไว้ไม่พอ
รวมทั้งความคิดและทักษะที่ไม่ได้รวมไว้ในกิจกรรมทางปัญญา
9.1
ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา
ในการกำหนดหลักสูตรสูญขึ้นมานั้นมีสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอยู่
2 ประเด็น คือ
1. กระบวนการทางปัญญา
ที่โรงเรียนเน้นและละเลย เป็นกระบวนการทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการรู้
โดยเริ่มจากการรับรูสิ่งต่าง ๆ ไปจนคิดหาเหตุผลทุกรูปแบบ
2. เนื้อหาสาระที่มีอยู่และที่ขาดหายไปจากหลักสูตร
9.2การนำแนวคิดหลักสูตรสูญไปปรับใช้
เมื่อจะพิจารณาว่ามีกระบวนการใด
หรือเนื้อหาใดขาดไปจากหลักสูตร ก็จะต้องมีการกำหนดกรอบที่เป็นกลางๆเอาไว้อ้างอิง ถ้าหากหลักสูตรไม่ได้ครอบคลุมถึงสิ่งที่เป็นเนื้อหากลางๆที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหลักสูตรเหล่านั้นก็จะด้อยคุณค่าทันที
จากตัวอย่างการพิจารณา นำวิชาตรรกวิทยามาบรรจุในหลักสูตรอนุบาลนั้น
ต้องถือว่าต้องถือว่าหลักสูตรสากลของอนุบาลศึกษา จะต้องไม่มีการเรียนวิชาตรรกวิทยา
สรุปเนื้อหาสาระประเภทหลักสูตร
ความคิดเกี่ยวกับ “ประเภทของหลักสูตร”
ที่กล่าวมานี้ จะมีประโยชน์ต่อการประเมินผล และการวิเคราะห์หลักสูตร
เป็นการช่วยให้นักพัฒนาหลักสูตรได้หันมาพิจารณาหลักสูตรให้ครบอีกครั้งว่า
จุดหมายและเนื้อหาของหลักสูตรที่กำหนดไว้แล้วนั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง
มีเนื้อหาในกระบวนการคิด และความรู้สึกประเภทใดที่เป็นประโยชน์
และสำคัญควรที่ผู้เรียนรู้ แต่ไม่มีในหลักสูตรก็จะได้ประชุมหารือกันระหว่าง
นักพัฒนาหลักสูตร และผู้รับผิดชอบ เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น