ประเภทของเกณฑ์การประเมิน
นักการศึกษาได้แบ่งประเภทของเกณฑ์การประเมินไว้ดังนี้
ประชุม รอดประเสริฐ
(2535, หน้า 93-94) กล่าวว่าเกณฑ์ประเมินผลงานจำแนกไว้ 2
ลักษณะได้แก่
1. เกณฑ์ที่ตั้งขึ้น (instrumental
criteria) เป็นเกณฑ์กลางที่กำหนดขึ้นไว้ก่อนที่จะมีการดำเนินงานหรือเป็นเกณฑ์ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
หรือเป็นเกณฑ์ที่เป็นไปตามเครื่องมือ
2. เกณฑ์ตามเหตุ (consequential
criteria) เป็นเกณฑ์ที่เป็นไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเป็นเกณฑ์ที่ต้องผันแปรไปตามสถานการณ์ในขณะที่ดำเนินการอยู่
ศิริชัย กาญจนวาสี
(2550, หน้า 95) กล่าวว่าเกณฑ์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. เกณฑ์สัมพัทธ์ (relative
criterion) เป็นเกณฑ์ที่พัฒนามาจากประสบการณ์ในการเปรียบเทียบผลระหว่างโครงการหรือเปรียบเทียบกับผลที่เคยทำมาแล้ว
หรือเปรียบเทียบกับปกติวิสัย (norm) ของการจัดโครงการโดยทั่วๆ
ไป
2. เกณฑ์สัมบูรณ์ (absolute
criterion) เป็นเกณฑ์ที่พัฒนามาจากหลักเหตุผลเกี่ยวกับมาตรฐานของสิ่งนั้น
หรือความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับทางวิชาชีพหรือคุณภาพของสิ่งนั้นอันเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ
รัตนะ บัวสนธ์
(2540, หน้า 16) กล่าวว่าเกณฑ์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. เกณฑ์สัมบูรณ์
หมายถึงสิ่งที่เป็นหลักในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนตายตัว
2. เกณฑ์สัมพัทธ์
หมายถึงสิ่งที่ใช้เป็นหลักในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะเดียวกัน
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าเกณฑ์การประเมินแบ่งได้เป็น
2 ประเภทคือ 1) เกณฑ์สัมบูรณ์ หมายถึงเกณฑ์ที่ใช้เป็นหลักในการตัดสินเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าอันเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้อง
เช่น
การตัดสินผลการเรียนเทียบกับเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ว่าได้คะแนนร้อยละไรจึงจะได้ระดับผลการเรียน
4 , 3.5 , 3 , 2.5 , 2 , 1.5 , 1 หรือ 0 ตามลำดับ ซึ่งเกณฑ์นี้เป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้องทุกคนคือ ครู
ผู้เรียน และผู้ปกครอง 2)
เกณฑ์สัมพัทธ์หมายถึงเกณฑ์ที่พัฒนามาจากประสบการณ์ในการเปรียบเทียบผลระหว่างโครงการหรือเปรียบเทียบกับผลที่เคยทำมาแล้ว
หรือเปรียบเทียบกับปกติวิสัย ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะเดียวกัน
เช่นจากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาโดยทั่วๆ
ไปประเมินปัจจัยนำเข้าในตัวชี้วัดความเพียงพอของวัสดุอุปกรณ์และสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนใช้เกณฑ์ลักษณะเดียวกันคือค่าเฉลี่ยความคิดเห็นของผู้สำเร็จการศึกษาจากมาตราส่วนประมาณค่า
5 ระดับ อยู่ในระดับมาก เป็นต้น
สุนีย์ ภู่พันธ์
(2546, หน้า 254)
กล่าวว่าการประเมินผลหลักสูตรเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน
ผู้ทำหน้าที่ประเมินผลจำเป็นต้องยึดหลักการที่สำคัญในการประเมินผลเพื่อที่จะทำให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลจากการประเมินหลักสูตรที่มีคุณค่าเพียงพอที่จะนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรได้จริง
เป็นข้อมูลหรือหลักฐานที่เชื่อถือได้สูง มีความเที่ยงตรง
เราจะพบว่าในการประเมินหลักสูตรผลจากการประเมินหลายต่อหลายครั้งมิได้ถูกนำไปใช้ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้ง
ๆ ที่การประเมินผลหลักสูตรแต่ละครั้งเป็นงานใหญ่ต้องลงทุนลงแรงสูง
ดังนั้นในการประเมินหลักสูตรเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีคุณค่าจึงมีหลักเกณฑ์ที่จะช่วยในการประเมินดังนี้
1. มีจุดประสงค์ในการประเมินที่แน่นอน
การประเมินผลหลักสูตรจะต้องกำหนดลงไปให้แน่นอนชัดเจนว่าจะประเมินอะไร
2. มีการวัดที่เชื่อถือได้
โดยมีเครื่องมือและเกณฑ์การวัดซึ่งเป็นที่ยอมรับ
3.
ข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประเมินผล
ดังนั้นข้อมูลจะต้องได้มาอย่างถูกต้องและเชื่อถือได้
และมากพอที่จะใช้เป็นตัวประเมินค่าหลักสูตรได้
4.
มีขอบเขตที่แน่นอนชัดเจนว่าเรื่องต้องการประเมินในเรื่องใดแค่ไหน
5.
ประเด็นของเรื่องที่ประเมินอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจ
6.
การรวบรวมข้อมูลมาเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์
และกำหนดเครื่องมือในการประเมินผลจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
7. การวิเคราะห์ผลการประเมินต้องทำอย่างระมัดระวังรอบคอบ
และให้มีความเที่ยงตรงในการพิจารณา
8.
การประเมินผลหลักสูตรควรใช้วิธีหลายๆ วิธี
9. มีเอกภาพในการตัดสินผลการประเมิน
10. ผลต่างๆ
ที่ได้จากการประเมินควรนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรทั้งในด้านปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงในโอกาสต่อไป เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ดี และมีคุณค่าสูงสุดตามที่ต้องการ
11. ต้องถือปฏิบัติต่อเนื่องตลอดเวลา
รุจิร์ ภู่สาระ (2546, หน้า 150 - 152) กล่าวว่า
ผลการประเมินหลักสูตรจะมีความเชื่อถือเพียงใดอยู่ที่เกณฑ์สำหรับการใช้พิจารณาตัดสิน
การประเมินผลหลักสูตรของคณะกรรมการประเมินหลักสูตรเลือกใช้ได้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน
เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาสำหรับการประเมินหลักสูตรมีดังนี้
1. ความเที่ยงตรงภายใน (Internal
validity) หมายถึง
การออกแบบการประเมินเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลทำให้ได้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ประเมินผลของการประเมินตรงตามปรากฏการณ์เป็นตัวแทนภายในขอบข่ายของการพิจารณาอย่างถูกต้องและเป็นจริง
2. ความเที่ยงตรงภายนอก (External
validity) หมายถึง
ผลการประเมินหลักสูตรที่ได้สามารถจำไปอ้างอิงสรุปได้กว้างขวางเพียงใดเกี่ยวกับเรื่องของเวลา
สิ่งแวดล้อ ภูมิภาค และบุคคลที่มีสภาพความคล้ายคลึงกับกลุ่มที่ประเมิน
3. ความเชื่อถือได้ (Reliability)
หมายถึง
ความคงที่ของข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากการใช้เครื่องมือวัดหลายอย่าง
ผู้ประเมินหลักสูตรควรคำนึงถึงความน่าเพียงพอของการเก็บหรือวัดหรืออาจจะทำการวัดหลายๆครั้ง
หรือวัดครั้งเดียวด้วยเทคนิคการวัดแบบต่างๆ เพื่อตรวจสอบความคงที่ของคำตอบ
เรื่องนี้ผู้ประเมินหลักสูตรต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการวัดค่อนข้างมาก
และมีความละเอียดรอบคอบและมีความรับผิดชอบ
4. ความเป็นปรนัย (Objectivity)
หมายถึง
คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจข้อมูลที่ได้จากการวัดตรงกันมากน้อยเพียงไร
ผู้ประเมินรวบรวมข้อมูล รายละเอียดและตัดสินใจ
แปลผลตรงกันบุคคลที่ร่วมประเมินด้วยความเป็นปรนัยของการประเมินจึงจะเกิดขึ้น
5. ความสอดคล้องสัมพันธ์ (Relevance)
หมายถึง
ข้อมูลที่ได้จากการประเมินความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการประเมินเพียงไร
การกำหนดจุดมุ่งหมายของการประเมินไว้ชัดเจนจะช่วยให้ผู้ประเมินมีความระมัดระวังในการเก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบตนเองเสมอได้
6. ความสำคัญ (Importance)
หมายถึง การจัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบหลักสูตรที่จะประเมิน
การวางแผนเก็บรวบรวมข้อมูลว่าข้อมูล
ส่วนใดมีประโยชน์มากกว่ากันเพราะการประเมินหลักสูตรบางครั้งต้องทำการประเมินที่มีลักษณะกว้างและลึก
การเก็บรวบรวมข้อมูลถ้าไม่มีการจัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบหลักสูตรที่จะประเมิน
จะทำให้การเก็บข้อมูลในเรื่องเดียวกันจำนวนมาก
ผู้ประเมินหลักสูตรจะต้องถือเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องจัดลำดับความสำคัญให้กับข้อมูลที่จะไปเก็บรวบรวม
7. ขอบข่ายของการประเมิน (Scope)
หมายถึง
ระบบและแบบแผนของการประเมินที่จะเอื้ออำนวยให้ทำการศึกษาได้กว่างและลึก
ผู้ประเมินจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
และไม่ควรหยิบยกวิธีการประเมินเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งมาใช้ในการประเมินหลักสูตร
8. ความเชื่อถือและการยอมรับ (Credibility)
หมายถึง ผู้ที่ต้องการใช้ผลการประเมินมีความเชื่อถือในผู้ประเมิน
และยอมรับข้อมูลจากผลการประเมินได้มากน้อยเพียงใด
เพราะความสัมพันธ์ของผู้ประเมินหลักสูตรกับผู้ใช้ผลการประเมินหลักสูตรจะมีอิทธิพลต่อการประเมินหลักสูตรมาก
9. เวลา (Timeliness)
หมายถึง การรายงานผลการประเมินจะทันใช้ในเวลาที่ต้องการหรือไม่
การใช้เวลาสำหรับกิจกรรมการประเมิน
การเขียนรายงานการประเมินเป็นรายละเอียดที่จะต้องใช้เวลาอาจทำให้พลาดโอกาสที่จะใช้ผลการประเมินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติการใช้หลักสูตร
10. ขอบเขตของการใช้ผลการประเมิน (Pervasiveness)
หมายถึง
การนำผลการประเมินหลักสูตรไปใช้อย่างกว้างขวางและมีการเผยแพร่อย่างไร
การเขียนรายงานการประเมินหลักสูตรจะต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะนำเสนอให้ถูกต้อง
และใช้ผลการประเมินกว้างและลึกในลักษณะที่แตกต่างกัน
11. ประสิทธิภาพ (Efficiency)
หมายถึง
การพิจารณาทางเลือกในการปฏิบัติเมื่อการประเมินเสร็จเรียบร้อย
ทางเลือกนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ร่วมงาน ค่าใช้จ่าย
ประโยชน์ที่ได้รับจากการประเมินหลักสูตรนี้
การดำเนินการประเมินส่วนมากจะพบข้อจำกัดต่างๆ ผู้ประเมินหลักสูตรต้องมีความตระหนัก
และรับผิดชอบต่อจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรให้มาก
จากแนวคิดดังกล่าวสามารถสรุปเกณฑ์การประเมินหลักสูตรได้ว่า
ต้องมีความเที่ยงตรง เชื่อถือได้ มีความเป็นปรนัย และมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น