การกำหนดเกณฑ์การประเมิน
ในการประเมินผลสิ่งใดก็ตามผู้ที่ทำหน้าที่ประเมินจะต้องมีการกำหนดเกณฑ์ขึ้นใช้ในการประเมิน
เพราะเกณฑ์คือสิ่งที่เป็นหลักสำหรับการตัดสินใจ
ซึ่งการกำหนดเกณฑ์เพื่อการประเมินทำได้หลายวิธีตามลักษณะของเกณฑ์
นักวิชาการได้กำหนดเกณฑ์ไว้ในลักษณะต่างๆ ดังนี้
ไชยยศ เรืองสุวรรณ
(2533, หน้า 138) เสนอแนวทางการกำหนดเกณฑ์การประเมินการวัดด้านความรู้สึกหรือความพึงพอใจ
โดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท
ในการรวบรวมข้อมูลการประเมินใช้คะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นแต่ละช่วงเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูล
เกณฑ์ในการประเมินมีดังนี้
ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.49 หมายถึง
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ค่าเฉลี่ย 1.50 - 2.49 หมายถึง
ไม่เห็นด้วย
ค่าเฉลี่ย 2.50 - 3.49 หมายถึง
ไม่แน่ใจ
ค่าเฉลี่ย 3.50 - 4.49 หมายถึง
เห็นด้วย
ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายถึง
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
รัตนะ บัวสนธ์
(2540, หน้า 186 - 188) กล่าวถึงลักษณะของเกณฑ์ที่กำหนดวิธีต่างๆ
ได้แก่
การกำหนดเกณฑ์สัมบูรณ์ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินโครงการหรือหลักสูตรผู้ประเมินอาจใช้คะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นแต่ละช่วงเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลของโครงการหรือหลักสูตรที่ได้จากการรวบรวมและวิเคราะห์มา
เช่น การกำหนดเกณฑ์ระดับความคิดเห็นของบุคคลจากการใช้แบบประมาณค่า 5
ระดับของลิเคิร์ท ดังนี้
ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.49 หมายถึง
ผลการประเมินอยู่ในระดับน้อยที่สุด
ค่าเฉลี่ย 1.50 - 2.49 หมายถึง
ผลการประเมินอยู่ในระดับน้อย
ค่าเฉลี่ย 2.50 - 3.49 หมายถึง
ผลการประเมินอยู่ในระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 3.50 - 4.49 หมายถึง
ผลการประเมินอยู่ในระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายถึง
ผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด
สมคิด พรมจุ้ย (2544, หน้า 82)
กล่าวว่าการกำหนดเกณฑ์ในการประเมินที่นิยมในการประเมินมีหลายลักษณะคือ
1. โมเดลความงอกงาม
กำหนดเกณฑ์ในการประเมินโครงการหรือหลักสูตร โดยพิจารณาจากพัฒนาการที่เพิ่มขึ้น
หรือดูความงอกงาม เช่นเปรียบเทียบความรู้ระหว่างก่อนและหลังอบรมในการตัดสินใจทำได้
3
ลักษณะคือดูว่าคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหรือไม่กำหนดช่วงคะแนนที่เพิ่มขึ้น
ผู้เข้ารับการอบรมต้องได้คะแนนเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15
หรือกำหนดความรู้ขั้นต่ำที่ยอมรับได้ เช่น ผู้เข้ารับการอบรมต้องได้คะแนนร้อยละ 80
2. โมเดลสัมบูรณ์หรือมาตรฐาน
เป็นการกำหนดเกณฑ์โดยอาศัยหลักเหตุผลการกำหนดระดับที่ควรมี ควรเป็นจากโครงการ เช่น
สอบได้ร้อยละ 80
3. โมเดลสัมพัทธ์ ในบางกรณีผู้ประเมินไม่สามารถกำหนดเกณฑ์สมบูรณ์ได้จำเป็นต้องเทียบเคียงกับโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
เช่น เทียบกันเองในกลุ่ม เทียบกับปกติวิสัย (norm)
4.
การกำหนดเกณฑ์โดยวิธีการตรวจสอบความสอดคล้องของผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ศึกษามาจากเกณฑ์การประเมินที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าเกณฑ์การประเมินมี
2 ลักษณะคือ เกณฑ์สัมบูรณ์และเกณฑ์สัมพัทธ์
การใช้เกณฑ์ในการประเมินจะเป็นเกณฑ์ที่ยอมรับได้ของผู้เชี่ยวชาญและนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
ต้องเลือกกำหนดเกณฑ์ที่มีองค์ประกอบตรงกับลักษณะของข้อมูลที่จะนำมาประเมิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น