หลักสูตรบูรณาการ
ปัจจุบันยังมีการกล่าวขานถึงหลักสูตรบูรณาการกันอยู่ และค่อนข้างบ่อยขึ้น
อันเนื่องมาจากการปฏิรูปการศึกษา แต่ก็ยังเป็นไปในลักษณะเดิมๆ คือ
การบูรณาการภายในวิชา (intradisciplinary) และบูรณาการระหว่างวิชา
(interdisciplinary) ซึ่งมีความหมายเฉพาะการบูรณาการเนื้อหาวิชาเท่านั้น
แท้จริงการบูรณาการหลักสูตรทำได้หลายลักษณะ ดังนี้
1.
การบูรณาการวิชา (Integrated by subjects)
เป็นการบูรณาการระดับที่ใหญ่ที่สุด
เพราะมีผลกระทบต่อการจัดโครงสร้างหลักสูตรและการบริหารจัดการวิชาที่มีการบูรณาการกันบ่อยมากคือ
วิชาสังคมศึกษากับวิชาวิทยาศาสตร์
เพราะเป็นวิชาที่เกี่ยวกับชีวิตและนักเรียนสัมผัสพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน
ส่วนการบูรณาการวิชาอื่นๆ ที่พบได้อีก เช่นวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์กับภาษาไทย เป็นต้น การบูรณาการเฉพาะบางช่วงชั้น
หรือตลอดทุกช่วงชั้นก็ได้ แต่ช่วงชั้นที่ทำหลักสูตรบูรณาการมากที่สุด ได้แก่
ระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย
มักบูรณาการในระดับกรเรียนการสอน รายวิชามากกว่า
เพราะต้องการให้นักเรียนมีความรู้สึกในวิชานั้นๆ
แต่ก็จะมีการเพิ่มเติมโดยให้นักเรียนทำโครงงานที่บูรณาการหลายวิชาไว้ด้วยกัน
2.
จำนวนวิชาในหลักสูตรบูรณาการ
มักเน้นเฉพาะวิชาหลักที่มีความสำคัญและสัมพันธ์กับชีวิตจริงวิชาหลักที่นำมาจัดเสมอ
คือ วิชาการใช้ภาษา (ซึ่งบางครั้งแยกเป็นวิชาการอ่าน และวิชาการเขียน)
วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคมศึกษา และวิชาคณิตศาสตร์
เมื่อสถานศึกษาประสงค์จะจัดหลักสูตรแบบบูรณาการรายวิชา
ครูที่สอนจะต้องวางแผนร่วมกันกำหนดหัวข้อเรื่อง (Themes) หรือประเด็นคำถามสำคัญ (Essential questions) สร้างกิจกรรมหรือเรื่องราวที่นำชีวิตจริง
สภาพการณ์ที่เป็นจริงมาเป็นตัวตั้งในการทำหน่วยการเรียน
3.
บูรณาการการเรียนการสอน (Integrated by Learning management)
-
บูรณาการทักษะ (Integrated by skills) บูรณาการในลักษณะนี้เป็นได้ทั้งภายในวิชาเดียวกันหรือบูรณาการหลายวิชา
ที่บูรณาการทักษะในวิชาเดียวกัน เช่น บูรณาการทักษะการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน
การสรุป การนำเสนอ ในวิชาภาษาที่บูรณาการทักษะในหลายวิชา เช่น ทักษะการคิด
ทักษะการจัดการ และทักษะการวิจัย (ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต)
เป็นต้น วิชาที่มักบูรณาการด้วยทักษะ จำเป็นต้องมีการวางแผนร่วมกัน
เพราะเกี่ยวข้องกับผู้สอนหลายวิชา ผู้สอนจะต้องมาตกลงกันเกี่ยวกับเนื้อหา
ลำดับความยากง่าย จะแยกสอนเป็นวิชาหรือสอนเป็นทีม
ครูต้องร่วมกันกำหนดคำถามสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และทักษะที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียนให้ครบถ้วนและเหมาะสม
อีกทั้งให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่จะเรียนด้วย
การบูรณาการลักษณะนี้ใช้การจัดการเรียนการสอนที่เน้นโครงงาน
(Projects)
ประเด็นปัญหา (Issues) สภาพชุมชน (Community)
อาชีพ (Careers) หรือแม้แต่ศาสนา
การจัดทำหลักสูตรในลักษณะโมดูล (Modules) ก็อยู่ในประเภทนี้
-
บูรณาการสื่อเทคโนโลยี (Integrated by technology) การจัดหลักสูตรโดยนำสื่อเทคโนโลยีมาบูรณาการนั้นน่าจะทำได้ง่ายและจำเป็นในสภาวการณ์ปัจจุบัน
เพราะทุกวิชาสามารถใช้เทคโนโลยีบูรณาการในการเรียนการสอนได้
แม้แต่วิชาเทคโนโลยีเองก็ใช้เนื้อหาวิชาอื่น เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา
ฯลฯ เป็นสื่อการเรียนรู้ได้ บูรณาการในลักษณะนี้ เรียกว่า เป็นบูรณาการแบบคู่ขนาน
การบูรณาการโดยแหล่งเรียนรู้ก็จัดอยู่ในประเภทนี้
4.
การบูรณาการบริหารจัดการ (Integrated by management) ตัวอย่างของการบูรณาการประเภทนี้ เช่น การนำนักเรียนมาเรียนรวมกัน (Cross-age
integrated curriculum) การให้ผู้สอนสอนร่วมกัน (Team
teaching) เป็นต้น การจัดหลักสูตรอาจแยกเป็นรายวิชาหรือจัดแบบบูรณาการวิชาก็ได้
แต่วิธีที่เหมาะน่าจะเป็นการจัดหลักสูตรแบบโมดูล
สำหรับขอบเขตและการจัดลำดับการเรียนรู้ในหลักสูตรบูรณาการทุกแบบ
เป็นสิ่งปกติที่ครูต้องคำนึงถึงคือ ความยากง่ายตามระดับชั้นและวัย
ความซับซ้อนจากน้อยไปหามาก หรือจากสิ่งใกล้ตัวไปสู่ไกลตัว อย่างไรก็ตาม
ในการจัดทำหลักสูตรบูรณาการ มักจะกระทำสิ่งต่อไปนี้ด้วย คือ
1.
จัดการเรียนการสอนโดยใช้เนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตเป็นตัวตั้ง
จัดเนื้อหาในลักษณะหัวข้อเรื่องหรือโครงงาน
หรือบูรณาการโดยเน้นสิ่งที่ต้องการใช้ผู้เรียนเรียนรู้ เช่น ศาสนา เทคโนโลยี
เป็นต้น
2.
มีการวางแผนร่วมกัน ไม่ใช่ครูต่างคนต่างทำ
มิฉะนั้นจะเกิดความซับซ้อน แม้จะใช้การบูรณาการแบบคู่ขนานคือ
ครูต่างคนต่างสอนโดยนำเนื้อหาของอีกวิชาหนึ่งมาบูรณาการ
แต่ก็ต้องตกลงกันในส่วนของเนื้อหาที่จะนำไปบูรณาการเพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน
3.
ไม่ว่าจะบูรณาการด้วยวิธีใดก็มักใช้วิธีการสอนแบบกำหนดหัวข้อเรื่อง
(Themes) เป็นส่วนใหญ่ เพราะ 1. ผู้เรียนเข้าใจง่ายและเห็นความเกี่ยวข้องกับชีวิตจริง
2. สามารถบูรณาการได้มากว่า 2 รายวิชา
ในการจัดการเรียนการสอนย่อมหนีไม่พ้นการประเมินผล
ซึ่งต้องควบคู่ไปด้วยกัน คำถามชวนคิดก็คือ
การประเมินผลการเรียนการสอนแบบบูรณาการล่ะทำอย่างไรได้บ้าง คำตอบคือ
-
ประเมินผลด้วยวิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น
สังเกตพฤติกรรมแล้วบันทึกผลสังเกต ใช้แบบทดสอบ ให้ตอบคำถามย่อยๆ
ท้ายบทให้ทำโครงงาน/ชิ้นงาน/สิ่งประดิษฐ์ ให้นำเสนอผลงาน หรืออภิปรายผลงานของตนหรือของเพื่อน
เป็นต้น
-
ประเมินโดยบูรณาการพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน คือ
ด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ ไปพร้อมๆ กัน จากการใช้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงาน
สร้างชิ้นงาน แล้ววัดความรู้และทักษะจากกการให้สาธิตและแสดงผลงาน
วัดเจตคติจากการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์และสนุกสนาน
-
ประเมินจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เช่น ประเมินจากผลงานหลายๆ ชิ้น
ประเมินจากการทำงานกลุ่มหลายๆ ครั้ง
ประเมินทักษะการทำงานจากความคล่องแคล่วและความชำนาญ
4.
ประเมินโดยการบูรณาการทักษะที่ต้องการวัด เช่น
บูรณาการความรู้กับทักษะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างที่สอดคล้องกัน
บูรณาการทักษะกับค่านิยม เป็นต้น
5.
ประเมินจากกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ครู
นักเรียน(ประเมินตนเอง) เพื่อน ผู้ปกครอง เป็นต้น
จากการวิเคราะห์สังเคราะห์
แผนการสอนหรือหน่วยการเรียนรู้ทั้งหลาย พบว่า การประเมินผลการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะเกิดขึ้นควบคู่กับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการและประเมินโดยการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง
(Performance
Assessments) แล้วประเมินจากชิ้นงาน/ผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติพฤติกรรมที่พึงประสงค์ขณะกำลังปฏิบัติ
ความรู้ที่ได้จากการนำเสนอผลงาน ตอบคำถามได้ชัดเจนมีข้อมูลและเหตุผลสนับสนุน
ดังนั้น เครื่องมือการประเมินผลการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่สุด คือ Rubrics
(วิธีการให้คะแนนที่สามารถบูรณาการสิ่งที่ต้องการประเมินได้มากกว่า 2 ลักษณะขึ้นไป)
ตัวอย่างการประเมินโดยใช้ Rubrics
* ครูมอบหมายให้ผู้เรียนทำโครงงานและนำเสนอโดยใช้สื่อผสม (ประเมินภาพรวม)
การประเมินต้องเป็นแบบบูรณาการ จึงจะเหมาะสมโดย
-
ประเมินความรู้ที่ได้ ทักษะการนำเสนอและเจตคติต่อสิ่งที่เรียนพร้อมๆ
กัน (ประเมินจากการนำเสนอผลงาน)
-
ประเมินทักษะการทำงานร่วมกัน ทักษะการอยู่ร่วมกัน ทักษะการคิด
ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการค้นคว้า (ประเมินจากการปฏิบัติร่วมกัน)
-
ประเมินทักษะการใช้ภาษา กับทักษะการใช้เทคโนโลยี
และทักษะการแสวงหาความรู้ (ประเมินจากการรายงานหน้าชั้นเรียน)
-
ประเมินจากทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบภาวะผู้นำ-ผู้ตาม
การคาดการณ์และการแก้ปัญหา (ประเมินจากการปฏิบัติงานกลุ่มแต่ละครั้ง)
-
ประเมินโดยตัวนักเรียนเอง ประเมินโดยเพื่อน และประเมินโดยครู
โดยประเมินในประเด็นเดียวกันหรือต่างกันก็ได้ เพื่อดูความสอดคล้องของผลการประเมิน
* การประเมินความสามารถในการพูดต่อหน้าประชุมชน (ประเมินเฉพาะด้าน) สามารถประเมินผลแบบบูรณาการได้โดย
-
ประเมินทักษะการใช้ภาษา ทักษะการพูด (โน้มน้าวดึงดูดใจผู้ฟัง)
ทักษะการปรับตัว และบุคลิกภาพ (ประเมินหลายทักษะในกลุ่มเดียวกัน)
-
ประเมินความรู้ (ความถูกต้องในเนื้อหา) การนำเสนอ การใช้เทคโนโลยี
(บูรณาการความรู้และการใช้เทคโนโลยี)
สรุป
คือ วิธีการประเมินผลการเรียนการสอนที่ดีที่สุดคือ
การประเมินจากการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง (Performance
Assessments) และใช้ Rubrics เป็นแนวทางในการให้คะแนน
ซึ่งการกำหนดเกณฑ์การประเมินต้องคำนึงถึงผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
และความสามารถของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น