วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2562

บทที่3 ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร


บทที่3 ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
1. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
          ข้อมูลพื้นฐานด้านสังคมที่สำคัญที่ควรศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร คือ ข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาพของสังคม และแนวคิดของการพัฒนาการทางสังคมซึ่งมี 5 ยุคคือ
        1.ยุคเกษตรกรรม
        2.ยุคอุตสาหกรรม
        3.ยุคสังคมข่าวสารข้อมูล
        4.ยุคข้อมูลพื้นฐานความรู้
        5. ยุคปัญญาประดิษฐ์
            การศึกษาข้อมูลดังกล่าวนั้นเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำหลักสูตรให้เหมาะสมกับผู้เรียนในยุคสมัยต่าง ๆ ประการสำคัญอีกประการหนึ่งในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านสังคมนั้นมุ่งการสร้างเครือข่ายหรือความร่วมมือของชุมชนเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการจัดทำหลักสูตร เพราะบางรายวิชา สภาพชุมชนและสังคมไม่เอื้ออำนวยหรือส่งเสริมเท่าที่ควรก็อาจเป็นอุปสรรคในการจัดการศึกษา  โดยข้อมูลพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านสังคมนี้ สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้จากเอกสารรายงานต่าง ๆ หรือเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสำรวจ สอบถาม และการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ

          1.1 โครงสร้างทางสังคม
     ความหมายของโครงสร้างทางสังคม
โครงสร้างทางสังคม  คือ  ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนหนึ่งที่มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม  โดยมีบรรทัดฐานทางสังคมเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว
     ลักษณะโครงสร้างทางสังคม                 
โครงสร้างทางสังคมมีลักษณะสำคัญ  ดังนี้                                                           
1.  มีคนจำนวนหนึ่งที่มีการติดต่อระหว่างกัน  หรือ  การกระทำระหว่างสังคม  คือ  บุคคลตั้งแต่  2  คนขึ้นไป  ที่มีการติดต่อระหว่างกัน  เช่น  การคบค้าสมคม  การขัดแย้งกัน 
2.   มีบรรทัดฐาน  กฎเกณฑ์หรือระเบียบแบบแผน    คือ  เป็นแนวทางให้บุคคลในสังคมยึดถือร่วมกัน  เพื่อให้การติดต่อระหว่างกันดำเนินไปด้วยดี
3.   มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์  คือ  ความต้องการให้โครงสร้างของตนเองมีชื่อเสียง  เป็นที่ยอมรับ  มีความปลอดภัย  เจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ  ที่ให้ประโยชน์แก่สมาชิก

4.   มีลักษณะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้  คือ  โครงสร้างทางสังคมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่ดีขึ้นของสังคมพร้อมกัน   
     องค์ประกอบของโครงสร้างทางสังคม
องค์ประกอบของโครงสร้างทางสังคมประกอบด้วย  2  องค์ประกอบ  คือ   
    1.   การจัดระเบียบทางสังคม  
การจัดระเบียบทางสังคม หมายถึง   กลุ่มคนที่มีความเป็นระเบียบแบบแผนและมีกระบวนการจัดระเบียบภายในกลุ่ม
                    1.1   กลุ่มคนที่เป็นระเบียบ   เป้นกลุ่มคนที่มาติดต่อกันตามหน้าที่และระเบียบกฎเกณฑ์
                    1.2   กระบวนการจัดระเบียบทางสังคม  เป็นเรื่องคนตั้งแต่  2 คนขึ้นไป  ที่มีความสัมพันธ์กัน  แต่ละคนจำเป็นต้องมีบรรทัดฐาน  สถานภาพ  และบทบาทของตน
           -   บรรทัดฐาน   คือ    แบบแผน  กฎเกณฑ์  มาตรฐานในการปฏิบัติ         
           -   สถานภาพ    คือ    เป็นตำแหน่งที่เราต้องรับผิดชอบได้จากการเป็นสมาชิกของกลุ่ม
           -   บทบาท       คือ    หน้าที่ที่ต้องทำตามสถานภาพที่เราได้รับ
หน้าที่ของการจัดระเบียบทางสังคม
                1.   สร้างระเบียบที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม
                2.   อบรมสั่งสอนระเบียบแบบแผนต่าง ๆ  ให้สมาชิกมีความรู้  ความเข้าใจ  รวมทั้งฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ  สามารถนำเอาไปใช้ได้
                3.   สั่งสมและรักษาระเบียบแบบแผนให้อยู่ยั่งยืนนาน
                4.   ปรับปรุงระเบียบแบบแผนให้เข้ากับยุสมัย

     2.  สถาบันทางสังคม
          สถาบันทางสังคม  หมายถึง  กฎเกณฑ์หรือระเบียบแบบแผนของสังคม       ที่เป็นแนวทางการประพฤติในสังคม และแต่ละสังคมมีความต้องการและความจำเป็นหลายอย่าง  จึงจำเป็นต้องมีสถาบันทางสังคมหลายสถาบัน  เช่น
                   2.1    สถาบันครอบครัว    สนองความต้องการของมนุษย์ในด้านการกำเนิดบุตรและให้การอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูสมาชิกใหม่
                   2.2    สถาบันการเมืองการปกครอง    ควบคุมสังคมไม่ให้เกิดความไม่สงบ  รักษาความเป็นระเบียบ  ความเรียบร้อยในสังคม
2.3    สถาบันเศรษฐกิจ    สนองความต้องการในด้านการผลิต  การจำหน่ายจ่ายแจกและ
การบริการต่าง ๆ  เพื่อให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้
                   2.4    สถาบันการศึกษา   เป็นสถาบันที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมในทุกเรื่อง
                   2.5    สถาบันศาสนา     ความเชื่อความศรัทธาของมนุษย์ต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว  สถาบันนี้จะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ให้อยู่ในระเบียบ
     หน้าที่ของสถาบันสังคม
                1.   ดูแลการเพิ่มหรือขาดของจำนวนสมาชิกในสังคม  และให้การเลี้ยงดู  ให้ความอบอุ่นแก่สมาชิก
                2.   ให้การศึกษาอบรมเกี่ยวกันการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม  รวมทั้งอาชีพที่ใช้ในการดำรงชีวิต
                3.   ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสื่อสาต่างๆ  เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม
                4.   ส่งเสริมและรักษาความเป็นระเบียบและความมั่นคงของสังคม
                5.   ผลิตสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
                6.   จัดหา  ส่งเสริม  ผลิตเครื่องเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต  และการพัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพสูงขึ้น
                7.   ให้ความรู้และส่งเสริมเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของสมาชิกในสังคม

1.2 ค่านิยมในสังคม
คานิยมหมายถึงสิ่งที่คนในสังคมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าหรือเป็นที่ยอมรับ หรือเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปในสังคมนั้น ๆ  (อดุลวิเชียรเจริญ อ้างถึงในสงัด อุทรานันท์, 2532) ไดแบ่งค่านิยมของสังคมไทยเป็น 5 ประการดังนี้
1) ความเฉื่อย ซึ่งเป็นค่านิยมที่ฝังแน่นในประชาชนที่อยู่ในสังคมเกษตรกรรม ซึ่งมักจะถูกมองว่าไม
กระตือรือร้นในการทำงาน มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ชอบทำงานสบายถึงแม้นจะไดเงินน้อยไมชอบทำงานที่มีระเบียบกฎเกณฑ์
2) การถือฐานานุรูป
3) การถือความสัมพันธ์ส่วนตัว
4) การถือประโยชนของตนเอง
5) การถืออำนาจ
คานิยมในสังคมไทย ที่กล่าวนี้น่าจะไดมีการเปลี่ยนแปลงเพราะไมมีความเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน
เนื่องจากการศึกษาเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ดังนั้น การพัฒนาหลักสูตรและการสอนจึงจำเป็นจะต้องคำนึงถึงค่านิยมต่าง ๆ ในสังคมไทยว่าค่านิยมชนิดใดสมควรจะไดรับการเปลี่ยนแปลง คานิยมชนิดใดสมควรจะไดอนุรักษ์ให้คงอยู่ไวหรือค่านิยมใดสมควรสร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมตามสภาพของสังคมไทยในปัจจุบันให้มากที่สุด
1.3 ธรรมชาติของคนไทยในสังคม
      จากสภาพวัฒนธรรมและค่านิยมต่าง ๆ ในสังคมไทยเป็นเหตุให้คนไทยส่วนใหญ่มีบุคลิกภาพดังนี้ คือ
1) ยึดมั่นในตัวบุคคลมากกว่าหลักการและเหตุผล
2) ยกย่องคนที่มีความรูหรือไดรับการศึกษาสูง
3) เคารพและคล้อยตามผู้มีวัยวุฒิสูง
4) ยกย่องผู้มีเงิน
5) รักความเป็นอิสระและชอบทำงานตามลำพัง
6) นิยมยกย่องผู้มีอำนาจ
7) เชื่อถือโชคลางทางไสยศาสตร์
8) นิยมการเล่นพวก
โดยธรรมชาติของคนไทยลักษณะบางอย่างก็ควรรักษาไว้เพื่อความเป็นเอกลักษณ์หรือลักษณะของคนไทย เช่น ความสุภาพ อ่อนน้อมต่อผู้มีวัยวุฒิสูง การยิ้มแย้มแจ่มใส การรูจักให้อภัยเป็นต้น ในการพัฒนาหลักสูตรที่จะให้กับคนในสังคมใดก็ตามควรคำนึงถึงลักษณะของคนในสังคมนั้น ๆ วาสมควรจะพัฒนาให้มีคุณลักษณะเช่นใดลักษณะใดเป็นที่ต้องการในสังคม และลักษณะใดเป็นสิ่งที่สมควรให้หมดไปในสังคม

1.4 การชี้นำสังคมในอนาคต
ระบบพัฒนาหลักสูตรในอดีตเป็นลักษณะของการตั้งรับมาโดยตลอด ความต้องการและปัญหาของสังคม จึงให้การศึกษาเป็นตัวตาม เป็นเครื่องมือที่คอยพัฒนาไปตามกระแสของความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นผลผลิตที่ได้จากหลักสูตร คือ ผู้เรียนเป็นผู้ที่วิ่งตามสังคม ฉะนั้นการจัดการศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศในอนาคตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องชี้นำสังคมในอนาคต เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

1.5 ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง
นักพัฒนาหลักสูตรควรจะได้ศึกษาข้อมูลหรือมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆเพื่อที่จะสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าสภาพสังคมในอนาคต 5-10 ปี ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แม้จะเป็นการยากแก่การพยากรณ์แต่เป็นทางที่จะช่วยผลิตประชากรให้แก่สังคมได้อย่างสอดคล้องตามนโยบายการศึกษาของชาติ และในการผลิตคนให้แก่สังคมในอนาคตที่ทำได้แน่นอนคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพในการดำรงชีวิต จรรโลงสภาพสังคมในอนาคตให้ดีขึ้น ลักษณะประชากรที่มีคุณภาพดีมีดังนี้
- มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตดี
- มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว ทำประโยชน์แก่ครอบครัว
- เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
- มีสติปัญญา หมั่นเสริมสร้างความรู้ความคิดอยู่เสมอ
- มีนิสัยรักการทำงาน ขยัน อดทน ประหยัด ซื่อสัตย์ ภักดี
- มีมนุษยสัมพันธ์ และมนุษยธรรม
หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรก็คือ จะต้องพิจารณาว่าจะจัดหลักสูตรอย่างไร  รูปแบบใด จึงจะทำให้ประชากรมีคุณภาพดี

1.6 ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม 
ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม วัฒนธรรมเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญที่จะแสดงให้ทราบว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนในสังคมเดียวกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน ดังนั้นศาสนาและวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์สำคัญของหลักสูตรก็คือการทำนุบำรุงรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามไว้  และสกัดกั้นวัฒนธรรมที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อป้องกันไม่ให้มาทำลายความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย การพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงศาสนาและวัฒนธรรม ความรู้และหลักธรรมทางศาสนาต่างๆนำมาบรรจุไว้ในหลักสูตร คือสอนให้คนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข  ด้านวัฒนธรรมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะวิทยาการต่าง ๆ เจริญก้าวหน้า ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม 
ข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรเป็นอย่างมาก  เพราะหลักสูตรที่ดีจะต้องตอบสนองสังคมและพัฒนาสังคมไปพร้อมกัน  การศึกษาข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรอบคอบจะทำให้เราสามารถนำไปพัฒนาหลักสูตรที่ดีตามลักษณะดังต่อไปนี้
- สนองความต้องการของสังคม
- สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม
- เน้นในเรื่องรักชาติรักประชาชน
- แก้ปัญหาให้กับสังคม มิใช่สร้างปัญหาให้กับสังคม
- ปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้น
- สร้างความสำนึกในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
- ชี้นำในเรื่องการเปลี่ยนแปลงประเพณีและค่านิยม
- ต้องถ่ายทอดวัฒนธรรมและจริยธรรม
- ปลูกฝังในเรื่องความซื่อสัตย์และความยุติธรรมในสังคม
- ให้ความสำคัญในเรื่องผลประโยชน์ในสังคม

  2. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ
พื้นฐานทางเศรษฐกิจและระบบเศรษฐกิจ : การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในทุกระบบเศรษฐกิจ เพราะระบบเศรษฐกิจจะเจริญก้าวหน้าได้เพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนในสังคมนั้น ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมนั้นกับพื้นบานทางด้านเศรษฐกิจ จึงพิจารณาในด้าน
1) การเตรียมกำลังคน จัดให้การศึกษาอย่างเพียงพอ พอเหมาะและสอดคล้องความต้องการในแต่ละสาขาวิชาชีพ เพื่อลดปัญหาการว่างงานอันเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศอีกทั้งสนับสนุนการจัดการศึกษาที่ส่งเสริมให้มีผู้เชี่ยวชาญในระดับต่าง ๆ รวมถึงพิจารณาถึงแนวโน้มความต้องการทางเศรษฐกิจของประเทศชาติในอนาคต
2) การพัฒนาอาชีพ การประกอบอาชีพของคนไทยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรมและการประกอบอาชีพอุตสาหกรรม และปัจจุบันมีการอพยพย้ายถิ่นเข้ามาทำงานอุตสาหกรรมในเมืองใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่น ๆ ตามมา เช่น สิ่งแวดล้อม เกิดชุมชนแออัด ปัญหาครอบครัว ดังนั้นหลักสูตรที่ใช้สำหรับสังคมไทยควรเน้นการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น จัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพตามศักยภาพและท้องถิ่น เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน
3) การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม ประเทศไทยกำลังพัฒนาจากการเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมมากขึ้น ดังนั้นการจัดหลักสูตร เช่น หลักสูตรวิชาชีพ จึงต้องเน้นด้านพัฒนาทักษะฝีมือแรงงงานเพื่อให้เป็นที่ต้องการของตลาดและมีประสิทธิภาพในเวทีการแข่งด้านการค้าและเศรษฐกิจ 
4) การใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจเป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่จำกัดของมนุษย์ ดังนั้นในการจัดหลักสูตร หรือจัดทำหลักสูตรเนื้อหาวิชา กิจกรรมและการจัดประสบการณ์ในหลักสูตรควรปลูกฝังเกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด 
5) การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของไทย เช่น ความขัดแย้งกับความเป็นจริงในระบบเศรษฐกิจ เช่น มีรายได้ต่ำแต่ต้องการจับจ่ายในระบบเศรษฐกิจสูงตามความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดปัญหาด้านหนี้สิน และในระบบเศรษฐกิจแบบเปิดทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยหลั่งไหลเข้ามาสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับเด็กและเยาวชน หรือการเอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยการศึกษา ดังนั้นการจัดหลักสูตรจะต้องบรรจุเนื้อหาในการสร้างค่านิยมในการทำงานร่วมกัน การไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยันหมั่นเพียร การรู้จักอดออม การมีสติรู้คิด
6) การลงทุนทางการศึกษา การจัดการศึกษาทุกระดับต้องใช้งบประมาณของรัฐโดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน แหล่งเงินที่จะช่วยเหลือรัฐในรูปของงบประมาณ  การจัดการศึกษาจึงต้องคำนึงถึงงบประมาณเพื่อการศึกษาจัดให้สอดคล้อง ไม่ว่าด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านวัสดุอุปกรณ์ เพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพัฒนาหลักสูตรให้เยาวชนมีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ หรือภาษาต่างประเทศ การบริหารจัดการด้านงบประมาณจึงต้องพิจารณา  ความพร้อมของโรงเรียน เพื่อลดการลงทุนที่สูญเปล่า

3. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านระบบการเมืองการปกครอง
ระบบการเมืองและการปกครอง : การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงข้อมูลทางการเมืองและการปกครองของประเทศด้วย   เพื่อจะได้พัฒนาประชากรให้เป็นไปในทิศทางที่สังคมต้องการ   เนื่องจากการศึกษาเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของสังคม หลักสูตรของประเทศต่าง ๆ มักจะบรรจุเนื้อหาสาระของระบบการเมือง การปกครอง เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนในการที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย  ในบางประเทศที่ต้องการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองให้แก่ประชาชนของตนเองก็มักจะเน้นเนื้อหาหลักสูตรเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองของประเทศตน

รากฐานของประชาธิปไตย : หลักสูตรในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนมีส่วนช่วยวางรากฐานเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข การยอมรับในความแตกต่าง และไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การจัดการเรียนการสอนก็ควรจะได้มุ่งเน้นพฤติกรรมประชาธิปไตย ความรักใคร่สามัคคีปรองดอง

4. ข้อมูลพื้นฐานสภาพปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหาของสังคม
สังคมไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้คนในสังคมมีการเบี่ยงเบนความสัมพันธ์ไปจากเดิม และสถาบันทางสังคมก็ทำหน้าที่ไม่ครบสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดปัญหาสังคม ปัญหาสังคมไทยมีอยู่มากมาย ดังนี้
1) ปัญหายาเสพติด  กำลังระบาดในหมู่เยาวชน  ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีคนติดสิ่งเสพติดมากกว่าสองล้านคน  ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชน สารเสพติดที่ระบาดในประเทศไทย  เช่น ยาบ้า ยาไอซ์ (ฝิ่น  กัญชา เฮโรอีน  และแอมเฟตามีน)  ซึ่งในประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นด้วยมีการลักลอบนำเข้ามายังบริเวณชายแดนใต้และภาคเหนือของไทย ในการจัดหลักสูตร ผ่านการสอนในสถานบันศึกษานั้น ต้องพิจารณาในการชี้ให้เห็นถึงโทษ เช่นการให้ความรู้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งเสพติดกับเด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึง
2) ปัญหาเด็กและเยาวชนในวัยเรียน เช่น  มั่วสุมตามสถานที่บันเทิง โดดเรียน หนีเรียน ท้อง ทิ้ง แท้ง  และปัญหาเหยื่อของโฆษณาทำให้เป็นผู้บริโภคนิยม เป็นต้น การจัดการศึกษาในหลักสูตร คงต้องพิจารณาถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ปกครอง โดยให้ความรักความอบอุ่นกับสมาชิกในครอบครัว  และพร้อมทั้งส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของ บุตรหลาน ชุมชน สังคมในการส่งเสริมการจัดเวลารวมทั้งพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพความสามารถตามความสนใจและความต้องการตามวัย เพื่อเป็นการเสริมประสบการณ์ในทางสร้างสรรค์
4.1 ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้แก่  ปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านปริมาณที่ลดน้อยลงจนใกล้ ภาวะขาดแคลน และด้านคุณภาพ เช่น ดินเสื่อมสภาพ  แม่น้ำเน่าเสีย เป็นต้น ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ทำให้ปริมาณการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดสภาพเสื่อมโทรมและลดลง อย่างรวดเร็ว วิกฤตการณ์ทรัพยากรดินในประเทศไทย

4.2 ปัญหาทางด้านสังคม
          ปัญหาสังคม หมายถึง สภาวะที่มีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนมากในสังคมและเห็นว่าควรร่วม กันแก้ปัญหา นั้นให้ดีขึ้น
           ปัญหาสังคม อาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในลักษณะที่ผู้คนในสังคมยอมรับไม่ได้ อาจเกิดจากความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์หรืออาจเกิดจากปัจจัยทางสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติที่ไม่เหมาะสม เป็นต้นว่า ความแห้งแล้ง ภัยธรรมชาติ
            สังคมไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้คนในสังคมมีการเบี่ยงเบนความสัมพันธ์ไปจากเดิม และสถาบันทาง สังคมก็ทำหน้าที่ไม่ครบสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดปัญหาสังคม ปัญหาสังคมไทยมีอยู่มากมาย ดังนี้
          1. ปัญหายาเสพติด
2. ปัญหาเด็กและเยาวชน
          3. ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น
4. ปัญหาความยากจน
5. ปัญหาโรคเอดส์

          4.3 ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยมีสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปัญหาทางด้านการเมือง ภัยธรรมชาติ ขาดแคลนเงินทุน เป็นต้น และปัจจัยภายนอก เช่น ราคาน้ำมัน วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ความตกต่ำของเศรษฐกิจโลก เป็นต้น    ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจประเทศไทย รวมทั้งเศรษฐกิจของชุมชนด้วย ปัญหาเศรษฐกิจของไทย ที่สำคัญ ได้แก่
1. ปัญหาความยากจน  ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงยากจน มีชีวิตความเป็นอยู่ในระดับพอยังชีพ แนวทางแก้ไข คือ ถ้าในระยะสั้น ใช้การกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ ส่วนแนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืน คือ พัฒนาการศึกษาเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
2. ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือถดถอย ทำให้การลงทุนและการจ้างงานลดลง  การว่างงานเพิ่มขึ้น รายได้ประชาชาติและการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลง แนวทางแก้ไข คือ รัฐบาลวางนโยบายทางเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนของประชาชน ให้ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในประเทศ ทำให้ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น หรือลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุน ทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น
3. ปัญหาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ  เนื่องจากการเปิดเสรีทางด้านการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกมากขึ้น ทำให้ประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นทั้งในด้านราคา  คุณภาพ และเทคโนโลยีชั้นสูงขึ้น แนวทางแก้ไข คือ  ภาคการผลิตต้องปรับตัวเอง เพิ่มศักยภาพในการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สินค้าที่มีคุณภาพดี หรือทำให้สินค้าหรือบริการของตนมีเอกลักษณ์แตกต่างจากสินค้าหรือบริการของผู้ผลิตรายอื่น   
4. ปัญหาการว่างงาน  เป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากเศรษฐกิจตกต่ำทำให้ขายสินค้าไม่ได้ หรือมาจากไม่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นๆได้ หรือเศรษฐกิจโลกตกต่ำ แนวทางการแก้ไขปัญหา คือ รัฐบาลเข้ามากระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยรัฐบาลเองหรือส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชน
5. ปัญหาการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม   ช่องว่างของรายได้ที่ไม่เป็นธรรม สภาพความเป็นอยู่จึงแตกต่างกันแนวทางแก้ไข คือ รัฐบาลควรเข้าไปจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรมอย่างทั่วถึง สร้างงานให้กับคนในชนบทหรือเพิ่มอาชีพเสริมให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย  จัดเก็บภาษีทางตรงในอัตราก้าวหน้าแล้วนำไปจัดสรรแก่ผู้ที่มีรายได้น้อย จะทำให้ช่องว่างในการกระจายรายได้ลดลง
6. การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสินค้าและบริการทั้งของต่างประเทศ และภายในประเทศ ก่อให้เกิดผลเสียต่อการผลิต การลงทุนภายในประเทศ ส่วนในต่างประเทศไทยจะถูกตัดสิทธิพิเศษจากประเทศที่ถูกละเมิดสิทธิทำให้มีผลต่อการส่งออก ความสามารถในการแข่งขันทางการค้าจะลดลง แนวทางแก้ไข คือ จะต้องเพิ่มมาตรการการลงโทษทางกฎหมายและส่งเสริมโดยใช้มาตรการทางภาษี เพื่อลดราคาสินค้าที่ต้องตามกฎหมายใกล้เคียงกับสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์

5. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การศึกษาจึงต้องสอดคล้องไปกับความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นักพัฒนาหลักสูตรจึงต้องใช้ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประกอบการกำหนดเนื้อหาของหลักสูตร และวิธีการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือกำหนดเนื้อหาที่พอเพียง ทันสมัย ให้ผู้เรียนได้ทราบถึงผลกระทบที่เกิดจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กำหนดให้ใช้วิธีการและสื่อการเรียนอันทันสมัย เช่น การสอนแบบทางไกล การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้อินเทอร์เน็ต (internet) ในการจัดการเรียนรู้ เป็นต้น
     พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตรใน 2 ลักษณะคือ
          1.นำมาเป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงในสังคม
          2.ใช้ในการพัฒนากระบวนการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
      ดังนั้นการศึกษาข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีผลทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มความเจริญในอนาคต จะทำให้สามารถพัฒนาหลักสูตรที่สามารถพัฒนาคนในสังคมให้มีศักยภาพเหมาะสมกับการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตามความต้องการของสังคม

6. ข้อมูลพื้นฐานทางสภาพทางสังคมในอนาคต
          สังคมไทยในอนาคต จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุประชากรในอีก  20  ปีข้างหน้า กล่าวคือ สัดส่วนของประชากรวัยเด็กจะลดลง  แต่สัดส่วนของประชากรวัยแรงงาน และวัยสูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้โครงสร้างการผลิตจะมีการเปลี่ยนแปลง จากสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยการผลิตนั้นจะอาศัยเทคโนโลยีระดับกลางและระดับสูงเพิ่มมากขึ้น การเกษตรจะเน้นการผลิตพืชผลที่ไม่ต้องใช้เนื้อที่ในการเพาะปลูกมากเหมือนพืชหลักชนิดเดิม   ส่วนภาคอุตสาหกรรมจะเน้นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมส่งออกมากขึ้น  ดังนั้นประชาชนในชาติจะต้องมีคุณลักษณะในเรื่องของการมีเหตุผล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  สามารถวิเคราะห์ปัญหา และการทำงานอย่างเป็นระบบ   รู้จักพึ่งตนเอง    และมีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์    เพื่อที่จะสอดคล้องกับสภาพสังคมไทยในอนาคต อันจะช่วยให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมได้อย่างไม่มีปัญหา จากสภาพการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปดังนี้
              1. มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมทั้งอุตสาหกรรมท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
              2. งานอาชีพอิสระมีแนวโน้มจะมีความสำเร็จมากขึ้นในอนาคตทั้งนี้เนื่องจากลักษณะการผลิตอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มักเป็นการผลิตใช้ทุนมากกว่าใช้แรงงาน
              3. ในอนาคตสภาพสังคมจะมีการแข่งขันและต่อสู้เพื่ออยู่รอดเฉพาะตัวเพราะที่ดินทำกินไม่สามารถขยายเพิ่มให้สมดุลกับประชากรได้ ทำให้เกิดการเข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น และภาคอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถรองรับแรงงานได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดมีมากขึ้น
              4. การประพฤติปฏิบัติของคนไทยจะเปลี่ยนไปจากวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความเจริญด้านเทคโนโลยีและการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และสิ่งแวดล้อมของสังคมไทย
              5. ในอนาคตคาดว่าการดำเนินชีวิตของคนไทยประสบกับปัญหา ทั้งในด้านสุขภาพและ                การประกอบอาชีพมากขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเพิ่มของประชากร
      จากสภาพการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว หลักสูตรในอนาคตต้องมีบทบาทดังต่อไปนี้
              1. เตรียมกำลังคนให้เหมาะสมกับงานด้านอุตสาหกรรมขนาดย่อย และอุตสาหกรรมท้องถิ่น โดยเตรียมกำลังคนที่มีคุณภาพทางด้านความรู้ทักษะ และลักษณะนิสัย ตลอดจนเจตคติที่ดีต่อการทำงานอาชีพ
              2. ส่งเสริมอาชีพอิสระและเตรียมคนให้เห็นช่องทางในการประกอบอาชีพอิสระมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานของประชาชนส่วนหนึ่ง
              3. การศึกษาในอนาคตควรเน้นไปที่การสร้างค่านิยมด้านความสามัคคีในการอยู่ร่วมกัน โดยให้ทุกคนรู้จักเสียสละ มุ่งทำประโยชน์ให้แก่สังคมเป็นส่วนใหญ่ และหาจุดยืนที่เป็นที่ยอมรับ
              4. เตรียมคนให้เห็นคุณค่าของการดำรงรักษาวัฒนธรรมไทย รู้จักผสมผสานวัฒนธรรมดั่งเดิมกับวัฒนธรรมใหม่ เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติตน มุ่งพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ความเจริญทางสังคม ตลอดจนมุ่งพัฒนาจิตใจให้ยึดมั่นในศาสนาและหลักธรรม มีคุณธรรมจริยธรรมอันจะนำไปสู่การมีชีวิตที่สงบสุข
              5. เตรียมฝึกคนให้สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตพร้อมทั้งสามารถเลือกแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

7. ข้อมูลพื้นฐานจากนักวิชาการจากสาขาต่าง ๆ
              ข้อมูลพื้นฐานจากนักวิชาการในวิชาสาขาต่าง ๆ เป็นข้อมูลสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรสามารถคลอบคลุมความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรได้อย่างกว้างขวาง ข้อมูลดังกล่าวได้แก่ ข้อมูลจากนักวิชาการในวิชาสาขาต่าง ๆ นักการศึกษา หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ผลผลิตของการจัดการศึกษา คือสถานประกอบการที่จบการศึกษาเข้าไปสู่ หรืออาจจะเรียกข้อมูลจากสถานประกอบหรือตลาดแรงงานเป็นต้น
              7.1 ข้อมูลจากนักวิชาการ
นักวิชาการแต่ละสาขาที่มีความรู้ ความสามารถความชำนาญเฉพาะทางย่อมรู้ทฤษฎีหลักธรรมชาติโครงสร้าง และระดับความยากง่ายของความรู้แต่ละศาสตร์ของตนเป็นอย่างดี คณะพัฒนาหลักสูตรต้องปรึกษาและร่วมมือกับนักวิชาการเหล่านี้เกี่ยวกับการกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ในแต่ละสาขาวิชา ในการกำหนดเนื้อหาวิชา ความกว้าง ความลึก และความต่อเนื่องสัมพันธ์เนื้อหาในเรื่องการปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรของไทยยังขาดข้อมูลด้านนี้มาก ทำให้เกิดการสูญเปล่าทางการศึกษา นักวิชาการสาขาต่างๆ จึงน่าจะมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรโดยร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรในแต่ละสาขา เพื่อสร้างหลักสูตรที่สมเหตุสมผลและสมจริงทางวิชาการ
              7.2 ข้อมูลจากสถานประกอบการ
เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรไม่สมควรมองข้าม เพราะหลักสูตรจะต้องผลิตคนสู่สถานประกอบการต่าง ๆ ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาหลักสูตรในระดับอาชีวศึกษา ความต้องการของสถานประกอบการเป็นข้อมูลสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรควรนำไปพิจารณา เพื่อจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้ผู้จบหลักสูตรสามารถเข้าไปสู่สถานประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8. ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชนหรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่
              ข้อมูลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ควรศึกษาวิเคราะห์ คือข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาพทั่วไปของโรงเรียน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนครูในโรงเรียน จำนวนอาคารสถานที่หรือห้องเรียนจำนวนอุปกรณ์และศักยภาพของโรงเรียนมากที่สุด นอกจากนี้ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนและสภาพสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่ก็เป็นข้อมูลที่ผู้จัดทำหลักสูตรหรือพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษา เช่น สภาพแวดล้อมและสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้ง หรือสังคมโดยทั่วไปของผู้ใช้หลักสูตรหรือโรงเรียนนั้นเป็นอย่างไร การสนับสนุนหรือความร่วมมือของชุมชนสังคมที่มีต่อโรงเรียนเป็นอย่างไร ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการจัดทำหลักสูตร เช่น การกำหนดวิชาเรียนต่าง ๆ เพราะบางรายวิชาสภาพชุมชนและสังคมไม่สามารถเอื้ออำนวยหรือส่งเสริมเท่าที่ควร การศึกษาก็ไม่บรรลุผล เพราะฉะนั้นการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชน และสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้จัดทำหลักสูตรต้องศึกษา เพื่อให้ได้ข้อมูลมาจัดทำหลักสูตรที่โรงเรียนต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้สามารถค้นคว้าและหาข้อมูลได้จากเอกสารในการรายงานต่าง ๆ การสำรวจ สอบถาม และการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวข้อง เช่น คนในชุมชน ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้ที่สำเร็จการศึกษา ซึ่งการศึกษาข้อมูลดังกล่าวจำเป็นสำหรับการพัฒนาหลักสูตรทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ทุกโรงเรียนสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะหลักสูตรระดับท้องถิ่นข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้พัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นจะต้องให้ความสำคัญเพื่อที่จะเสริมสร้างได้หลักสูตรที่เหมาะสมและตอบสนองต่อท้องถิ่นนั้น ๆ ได้อย่างเต็มที่

9. ข้อมูลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และการศึกษาหลักสูตรเดิม
              ประวัติศาสตร์มีความสำคัญต่อชีวิตและการกระทำในปัจจุบัน ดังคำกล่าวที่ว่า ปัจจุบันผลของอดีตและอนาคตเป็นผลปัจจุบัน เพราะฉะนั้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และการศึกษาหลักสูตรในอดีตย่อมมีประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาและการจัดทำหลักสูตรในปัจจุบัน การศึกษาไทยกับประวัติศาสตร์ไทยมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น เพราะเหตุการณ์ในชาติย่อมมีผลกระทบต่อการศึกษาเสมอ นักการศึกษาและนักพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องมีความรู้หรือข้อมูลศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติ รวมทั้งประวัติศาสตร์ควบคู่กันไป เพราะเราต้องอาศัยพื้นฐานทางประวัติศาสตร์มาช่วยในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบัน การศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะทำให้เราเห็นภาพรวมความเจริญของชาติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม การเมือง และวัฒนธรรมในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อการศึกษา ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้นักพัฒนาหลักสูตรต้องวิเคราะห์ว่าการจัดการศึกษาหรือการจัดหลักสูตรอย่างนั้นในสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในขณะนั้นมีความถูกต้องและเหมาะสมมากน้อยเพียงใด ส่วนใดเป็นลักษณะของการจัดการศึกษาหรือจัดหลักสูตรที่ดี ส่วนใดเป็นลักษณะการจัดทำหลักสูตรที่ผิดพลาดแก่ผู้จัดทำหลักสูตร การวิเคราะห์อดีตจะช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน
              การที่ต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตรเก่าเนื่องจากในการพัฒนาหลักสูตรนั้น  เราตั้งต้นจากสิ่งที่เรามีอยู่หรือใช้อยู่ จุดประสงค์ของการวิเคราะห์ก็เพื่อตรวจสอบหลักสูตรที่ใช้อยู่นั้นดีหรือไม่อย่างไร อะไรที่ดีอยู่แล้ว มีอะไรที่บกพร่อง ล้าสมัย หรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จุดเด่น จุดด้อย ข้อดี ข้อบกพร่องขององค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรทั้งในแง่ของประสิทธิภาพของการนำไปใช้ รวมทั้งความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลในอดีตที่มีคุณค่าแก่การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรปัจจุบัน ในการศึกษาประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์การศึกษาควบคู่กันไปนั้น 
ธำรง  บัวศรี (2532:128) ได้แสดงความคิดเห็นว่า หากลองตั้งคำถามต่าง ๆ แล้วลองพิจารณาหาคำตอบจะช่วยให้เห็นความเหมาะสมของการจัดการศึกษาในขณะนั้น ตัวอย่างคำถาม  เช่น ปัญหาเศรษฐกิจสังคม และการเมืองในขณะนั้นเป็นอย่างไร การจัดการศึกษามีจุดมุ่งหมายจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือไม่ วิธีการที่ช่วยแก้ไขปัญหาช่วยได้หรือไม่ การจัดการศึกษามีส่วนช่วยให้ยกระดับเศรษฐกิจหรือทำให้ระบบสังคมดีขึ้นหรือไม่ มีสิ่งชี้บอกใดหรือไม่ ที่แสดงว่าหลักสูตรได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือพัฒนาการของผู้เรียน หลักสูตรได้ส่งเสริมการถ่ายทอดวัฒนธรรมหรือปรับปรุงวัฒนธรรมอย่างไร หลักสูตรมีการส่งเสริมจิตสำนึกในการช่วยตนเองหรือไม่  เพราะฉะนั้นถ้านักพัฒนาหลักสูตรได้ศึกษาประวัติศาสตร์ และนำประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์หาคำตอบจากคำถามเหล่านี้หรือคำถามอื่นที่มีประโยชน์เหมาะสมที่จะช่วยให้ได้คำตอบที่เป็นประโยชน์และเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับบล็อก

บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการพัฒนาหลักสูตร โดย   ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช  สาขาหลักสูตรและการสอน ผู้จัดทำ   น...